Last updated: 7 พ.ย. 2567 | 148 จำนวนผู้เข้าชม |
ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ คืออะไร
ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ คือการกระทำที่บุคคลใดใช้กลอุบายหลอกลวงผู้อื่นในลักษณะที่เป็นกิจวัตรประจำวัน หรือในแบบที่ทำซ้ำได้บ่อยครั้งโดยมีเจตนาทำให้ผู้อื่นเสียหายหรือสูญเสียทรัพย์สิน ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อเจ้าหนี้และบุคคลทั่วไปที่เกี่ยวข้อง
การกระทำที่เข้าข่าย “ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” นี้ถูกกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา โดยผู้เสียหายสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อดำเนินคดีและเรียกคืนหนี้ที่เสียหายได้
แนวทางการดำเนินการฟ้องร้องกรณีฉ้อโกงเป็นปกติธุระ
1. ตรวจสอบการกระทำและเจตนา
ขั้นแรกในการฟ้องร้องคดีฉ้อโกงคือการตรวจสอบว่าการกระทำของลูกหนี้เป็นการฉ้อโกงที่เป็นปกติธุระหรือไม่ ซึ่งหมายถึงการกระทำที่ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ครั้งเดียว แต่มีลักษณะการหลอกลวงซ้ำ ๆ
2. เตรียมเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน
การฟ้องร้องคดีฉ้อโกงจำเป็นต้องมีหลักฐานที่เพียงพอเพื่อแสดงให้เห็นถึงการกระทำที่หลอกลวง เช่น เอกสารสัญญาหนี้ เอกสารการโอนเงิน ข้อมูลการติดต่อ รวมถึงพยานบุคคลที่อาจมีข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการหลอกลวงของลูกหนี้
3. เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน หรือยื่นคำฟ้องต่อศาล
เมื่อตรวจสอบหลักฐานและเตรียมเอกสารครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายต้องแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนหรือยื่นคำฟ้องต่อศาลโดยระบุรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงเป็นปกติธุระ พร้อมแนบหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหา
4. ติดตามผลการดำเนินคดี
หลังจากผู้เสียหายต้องแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนหรือยื่นคำฟ้องต่อศาลเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องคอยตรวจสอบคดีกับตำรวจว่าอยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว หรือจดจำวันนัดของศาลและดูรายละเอียดว่าในแต่ละวันนัดของศาลนั้นมีขั้นตอนอย่างไร
การฉ้อโกงเป็นปกติธุระที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน
ในบริบทของกฎหมาย “ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” และ การฟอกเงิน มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการฉ้อโกงเป็นปกติธุระมักมีการหมุนเวียนทรัพย์สินอย่างซับซ้อน เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามและปิดบังแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม การฟอกเงินเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงหรือแปรรูปทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดกฎหมาย (เช่น ฉ้อโกง) เพื่อให้ดูเหมือนเป็นทรัพย์สินที่ถูกกฎหมาย ซึ่งกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสิทธิของเจ้าหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับการชำระหนี้
การตรวจสอบพฤติกรรมฉ้อโกงที่อาจเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน
การตรวจสอบการฉ้อโกงที่เชื่อมโยงกับการฟอกเงินจำเป็นต้องมีการสังเกตพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติ ดังนี้:
การโอนเงินผ่านหลายบัญชี เมื่อลูกหนี้ทำการฉ้อโกงและโอนเงินผ่านบัญชีหลายชั้น เพื่อกระจายเงินและทำให้ติดตามแหล่งที่มายากขึ้น เจ้าหนี้ควรตรวจสอบการโอนเงินที่มีลักษณะซับซ้อน
การลงทุนในทรัพย์สินอื่น ๆ การใช้เงินที่ได้จากการฉ้อโกงเพื่อซื้อทรัพย์สินหรือธุรกิจเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ผู้กระทำการฟอกเงินใช้เพื่อปกปิดที่มาของเงิน เจ้าหนี้ควรระวังเมื่อลูกหนี้มีการซื้อทรัพย์สินในลักษณะนี้
การสร้างธุรกรรมปลอม การสร้างธุรกรรมปลอมเป็นการกระทำที่พบได้บ่อย โดยผู้ที่กระทำการฟอกเงินอาจสร้างธุรกรรมทางการเงินที่ไม่สมจริงเพื่อทำให้เงินดูเป็นเงินที่ถูกกฎหมาย
การฉ้อโกงเป็นปกติธุระ เป็นการกระทำที่กำหนดในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยในมาตรา 3 ( 18 ) ซึ่งกำหนดว่าการกระทำใด ๆ ที่มีการซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายจะถือเป็นการฟอกเงิน
มาตรา 5 กำหนดให้การฟอกเงินเป็นความผิดอาญาร้ายแรง ผู้เสียหายสามารถดำเนินการฟ้องร้องและร้องเรียนไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เพื่อให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องถูกอายัดและนำไปชำระหนี้ได้
การดำเนินคดี กรณี “ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน แต่มีความสำคัญในการปกป้องสิทธิของผู้เสียหาย การเตรียมเอกสารและหลักฐานให้ครบถ้วนและการศึกษาขั้นตอนการดำเนินคดีสามารถช่วยให้เจ้าหนี้เข้าใจและจัดการกับกรณีฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการฉ้อโกงเป็นปกติธุระที่เชื่อมโยงกับการฟอกเงินเป็นการกระทำที่ซับซ้อนและมีผลกระทบกว้างขวางต่อทั้งระบบการเงินและเศรษฐกิจ การดำเนินการตามกฎหมายโดยการรวบรวมหลักฐานและแจ้งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานีตำรวจ สอบสวนกลาง สำนักงาน ป.ป.ง.
ทนายนิธิพล ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย
สำนักงานทนายความ สำนักงานกฎหมาย
แฟนเพจ FB : ทนายนิธิพล ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย
โทร : 095-453-4145 เวลาติดต่อจันทร์-เสาร์ 10.00น – 18.00น